ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ปฏิบัติบูชา

๑๗ ก.พ. ๒๕๕๖

 

ปฏิบัติบูชา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม : ข้อ ๑๒๖๙. เรื่อง “ฝันร้าย” (เขาว่าฝันร้าย คำถาม)

กราบนมัสการหลวงพ่อ ขอบคุณหลวงพ่อช่วยเมตตาตอบคำถามเรื่องปัญญาหรือเจโตที่ผมได้ถามไปครั้งก่อนหน้านี้ คำตอบของหลวงพ่อแทงตรงลงไปที่ใจผมเลยครับ คล้ายกับหลวงพ่อรู้วาระจิต ทำให้ผมคลายลังเลสงสัย และมั่นใจในทางปฏิบัติมากขึ้น แต่ตอนนี้ผมใช้ปัญญาอบรมสมาธิเป็นหลัก พยายามทำตามที่หลวงพ่อแนะนำ พอใจสงบก็พยายามจับก้อนความคิดหรือก้อนเสียงต่างๆ มาพิจารณาแยกขันธ์ แต่ยังไม่ค่อยชำนาญนัก

บางครั้งทำงานหรือเดินอยู่ก็จะมีธรรมผุดขึ้นมาสอนใจเป็นระยะๆ เกิดความสลดบ้าง ปีติน้ำตาไหลบ้างเป็นบางครั้ง เวลาปกติก็พยายามละวางความคิด โดยเฉพาะที่เป็นอกุศล ไม่ให้มันพัฒนาขยายตัวขึ้น โดยเฉพาะความโลภ ความโกรธ และพยายามให้มันอยู่ในใจเราให้สั้นที่สุด ถ้ายังลืมตาอยู่ ความคิดพวกนี้จะอยู่ไม่เกิน ๑ นาทีแล้วก็ไล่มันออกไปทั้งหมด ส่วนตัวรู้สึกว่าพอใจกับการพัฒนาตรงนี้มาก

ผมมีคู่เวรคู่กรรมคนหนึ่งเขาอาฆาตผมมาก และพยายามจองเวรผมทุกครั้งเท่าที่โอกาสจะทำได้ แม้จะพยายามขอขมาโทษแล้ว เขาก็ไม่ยอมยกโทษให้ ผมพยายามที่จะอดทนไม่โต้ตอบเขา ใช้ปัญญาแก้ปัญหาที่เขาสร้างขึ้นมาให้ผมและคนรอบข้างเท่าที่ผมจะคิดและทำได้ ทั้งๆ ที่ลึกๆ ผมโกรธมาก และอยากจะสวนกลับ แต่สติมันจะมาเบรกทุกครั้งที่จะปรุงต่อ และผมไม่อยากจะเป็นเครื่องมือเจ้ากรรมนายเวรสร้างกรรมต่อไป จึงเลือกที่จะเป็นคนหยุดและอดทน ขอรับผลแห่งกรรมนี้ไว้เอง แต่ปัญหาคือ เวลาหลับแล้วมันควบคุมความคิดความฝันไม่ได้เลยครับ

เมื่อคืนผมฝันว่าเจอคู่เวรคู่กรรมในความฝัน แล้วผมก็เข้าทำร้ายเขาเหมือนสัตว์ร้ายเลยครับ ผมตกใจมาก ลืมตาตื่นขึ้นมาหัวใจยังเต้นแรงอยู่เลย รำพึงว่าทำไมเราถึงได้คิด ได้ฝันเลวร้ายถึงขนาดนี้หนอ รู้สึกละอายใจมากๆ พร้อมกับมีคำถามผุดขึ้นมาคือ

๑. วิธีที่ผมพยายามทำอยู่ โดยการตัดความคิดอกุศลที่เกิดขึ้นจากความกระทบกระทั่งจากเขา เป็นแค่การข่มกดความผูกโกรธ แต่ยังไม่ได้แก้ต้นตอปัญหาที่ฝังอยู่ในใจใช่ไหมครับ ผมเลยแสดงออกทางความฝันนี้

๒. หากเป็นแบบนี้ เวลาผมเสียชีวิตผมต้องไปทุคติภูมิใช่ไหมครับ เพราะในความฝัน ความโกรธรุนแรงมากๆ

๓. สมมุติว่าหากผมกำลังจะตายจริงๆ ผมควรจะทำอย่างไรเพื่อป้องกันการไปสู่ทุคติภูมิครับ

ขอหลวงพ่อเมตตาแนะนำด้วย ขอบพระคุณล่วงหน้า (เขาว่านะ)

ตอบ : ถ้าเราปฏิบัติของเรา เห็นไหม เราปฏิบัติของเราเรามีหลัก พอเรามีหลักปั๊บ เราอยู่ในสังคม พอสังคมเรามีคู่เวรคู่กรรม นี่คู่เวรคู่กรรมเวลาเกิดมา เกิดมาในครอบครัวเดียวกัน อภิชาตบุตร บุตรที่ดีกว่าพ่อแม่ บุตรที่เสมอกว่าพ่อแม่ บุตรที่ต่ำกว่าพ่อแม่ เรามีเพื่อน เพื่อนที่เป็นเพื่อนแท้ เพื่อนแท้เวลาผิดพลาดสิ่งใดเพื่อนก็จะแก้ไขแทนเรา เราไปเจอเพื่อนเทียม คนเทียมมิตร คนเทียมมิตรมีแต่การปอกลอก มีแต่การเอาเปรียบเรา

นี่ก็เหมือนกัน เราอยู่ในสังคมไง สังคมเรามีคู่เวรคู่กรรม เรามีเพื่อน มีฝูง เพื่อนฝูงมันมีแต่สร้างปัญหาให้ตลอดเวลาเลย แล้วเรามีสติปัญญา เห็นไหม ทั้งๆ ที่เราอยากจะสวนกลับ เราสวนกลับก็ได้ บางทีผู้ที่มีอำนาจนะ แล้วผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาเรา ทำไมเขามาแข็งข้อ ทำไมเขามาทำอะไรเรา ถ้าผู้บังคับบัญชาที่ดี หัวหน้าที่ดีเขาจะให้อภัย เขาจะพยายามแก้ไข ไอ้ลูกน้องก็นึกว่าหัวหน้าไม่ทันเขา แต่ความจริงหัวหน้ามีคุณธรรม แต่ถ้าหัวหน้าที่ไม่ดี หัวหน้าที่ไม่ดีก็ไปเบียดเบียนลูกน้อง ไปเบียดเบียนผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชาโดนเบียดเบียนเข้าก็มีความทุกข์ ความยาก

นี้คืออะไร? นี้คือวิบากกรรม นี่ผลของเวรของกรรมไง แล้วผลของเวรของกรรม ศาสนาพุทธเป็นศาสนายอมจำนน อะไรก็ยกให้กรรม ยกให้กรรม นี่ทุกอย่างยกให้กรรม ปฏิเสธหมดเลย ไม่ยอมแก้ไขอะไรเลย ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ไม่รับผิดชอบ นี่ความคิดของวิทยาศาสตร์ แต่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งการรับผิดชอบ แต่การรับผิดชอบในปัจจุบันไง

ในปัจจุบันนะลูกของเรา เห็นไหม ถ้าลูกของเราอยู่ในโอวาทของเรา นี่ลูกดีมากเลย นี่เวรกรรมที่สร้างมาดี เราก็ได้สิ่งที่ดีมาตอบแทนเรา ลูกของเราเราก็รักมากเลย เราพยายามสั่งสอนเขาเต็มที่เลย แต่เขาก็ยังดื้อของเขา เขาก็ยังเป็นไปตามของเขา นี่เวรกรรมมันมีไง เวรกรรมมันมี พอโตขึ้นไปแล้วมันจะเป็นอย่างนั้นแหละ มันเป็นอย่างนั้นเพราะเวลาเขาไปมีลูก เขาไปมีครอบครัว เขาไปมีลูก มีหลานก็เป็นแบบนั้นแหละ เพราะใครสร้างมา ใครทำสิ่งใดมาเวรกรรมมันจะให้ผลมาอย่างนั้นแหละ

นี่พูดถึงว่าเรามีคู่เวรคู่กรรม นี่คือวิบากกรรม นี่คือผล ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนายอมรับความจำนน ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาไม่มีเหตุมีผล ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำดีได้ดีนะ นี่กรรมเก่ากรรมใหม่ไง อดีตชาติสิ่งที่เนิ่นช้ามา อดีตชาติสิ่งที่เป็นประวัติศาสตร์มา สิ่งที่เป็นอดีตมา ใครสร้างสิ่งใดมาใครรู้ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขยสร้างแต่คุณงามความดีมา แล้วเวลาสร้างมา สร้างมากับใคร?

สร้างมากับคู่เวรคู่กรรมก็ชูชก ชูชกก็มีปัญหากันมาทุกชาติ ทุกภพทุกชาติมา เวลามาถึงชาติปัจจุบันก็เกิดมาเป็นพระเทวทัต ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้ามีความเมตตามากนะ แต่เขาก็สร้างปัญหาของเขา นี่พูดถึงว่าเวลาอกุศลมันคิด เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นกุศล เป็นคุณงามความดี คุณงามความดี เห็นไหม เมตตา เมตตาอบรมสั่งสอน พยายามชักนำไปสิ่งที่ดี แต่เขาก็ได้แค่นั้นไง

อันนี้ก็เหมือนกัน เราจะบอกว่าในเมื่อเรามีคู่เวรคู่กรรม ถ้ามีคู่เวรคู่กรรม นี่มันเป็นวิบากกรรม คำว่าวิบากไง นี่ไงศาสนาพุทธ เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในสมัยพุทธกาลนะ พอพระมีปัญหากัน มีปัญหาปั๊บ เวลาไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำไมเป็นแบบนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่ามันไม่ใช่มีปัญหามาปัจจุบันนี้ มันมีปัญหามาตั้งแต่ชาตินั้นๆ บุคคลคนนั้นเป็นคนนี้ บุคคลคนนี้ได้เป็นคนนั้น ได้สร้างเวรสร้างกรรมกันมา แล้วปัจจุบันคนๆ นั้นมาเกิดเป็นคนๆ นี้ คนๆ นี้มาเกิดเป็นคนนั้น

นี่สิ่งนี้คืออดีต ถ้าไม่มีอดีตในการสะสมมา มันจะมีอำนาจวาสนาบารมีมาจากไหน? พันธุกรรมของจิตมันมาจากไหน? ดีเอ็นเอของเรานี่พิสูจน์ได้ทางการแพทย์ พันธุกรรมของจิต นี่กรรมเก่ากรรมใหม่มันสร้างเวรสร้างกรรมมา นี่พันธุกรรมของมัน ถ้าพันธุกรรมของมันมามันจะมีแนวคิดอย่างนั้นฝังรากลึกในใจมา แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่านี่การแก้จิตแก้ยากนัก หลวงปู่มั่นท่านบอกเลย

“การแก้จิตนี้แก้ยากนัก ให้หมู่คณะภาวนามา ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ”

เพราะผู้เฒ่าได้ชำระล้างในหัวใจของผู้เฒ่าเรียบร้อยแล้ว คือหลวงปู่มั่นท่านได้ชำระล้างในจิตใจของท่านสิ้นสุดแห่งทุกข์ไปแล้ว ท่านถึงรู้เหตุและรู้ผล ทีนี้รู้เหตุ รู้ผล ถ้าคนที่เข้าใจหมดแล้วมันก็ควบคุมได้ มันแบบว่าภารา หเว ปัญจักขันธา ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เป็นภาระ เป็นภาระที่เรารักษาดูแลไปเท่านั้น แต่ถ้าเป็นปุถุชน ภารา หเว ปัญจักขันธา นี่พูดถึงผู้ที่สะอาดบริสุทธิ์นะ แต่ถ้าผู้ที่เป็นปุถุชน นี่ขันธมาร ขันธ์เป็นมาร เป็นมารไปหมด เพราะมันไม่ถูกใจไปหมดเลย สิ่งนี้เป็นทุกข์ เป็นยาก

นี่เราจะปูพื้นให้เห็นว่าคู่เวรคู่กรรมใครจะไปคอนโทรลได้ ใครจะไปจัดการตรงนั้นได้ แต่ถ้าเราทำคุณงามความดีของเรา นี่เขาจะระลึกได้ แต่ถ้าเราสวนกลับ สวนกลับมันก็สวนกลับ สวนกลับก็สาดน้ำใส่กัน เห็นไหม เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร อู๋ย อย่างนี้มันจะระงับอย่างไรล่ะ? อู๋ย โดนกระทำทั้งนั้นเลย แล้วต้องให้ทนอยู่อย่างนี้ อย่างนี้เป็นลัทธิยอมจำนน ลัทธิอย่างนี้ก็เสียเปรียบน่ะสิ

คำว่าเสียเปรียบนะ ถ้าฉลาดทางโลก ฉลาดทางโลกเอาชนะคะคานกัน นี่ฉลาดทางโลก จะด้วยเล่ห์ ด้วยเหลี่ยม ด้วยเล่ห์กลต่างๆ เอาชนะคะคานกัน แต่ถ้าทางธรรมล่ะ? ทางธรรมเสียสละ เราให้เขารักษาใจเรา เวลาคน ๒ คนที่มีปัญหาขัดแย้งกัน ถ้าคนๆ หนึ่งเขามีสติปัญญาควบคุมใจเขาได้ เขาคุมเกมได้ เขาคอนโทรลเหตุการณ์นั้นได้ แต่คนๆ หนึ่งมีแต่ความโกรธปะทะกัน ต่างคนต่างสาดน้ำใส่กัน นี่เจ็บทั้งคู่ แต่ถ้าคนๆ หนึ่งเขามีสติปัญญาของเขา

นี่ผู้ฉลาด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในธรรมะนะ ถ้าคนที่เขาโกรธใส่เรา เราโกรธตอบเราโง่กว่าเขา เพราะอาการโกรธนั่นคือขาดสติ การขาดสติเขาจะสร้างเวรสร้างกรรมได้ทุกชนิดเลย แล้วเราก็จะขาดสติสู้กับเขา เห็นไหม แล้วเราจะขาดสติปะทะกับเขา เราจะสร้างเวรสร้างกรรมต่อไป แต่ถ้าเรามีสตินะเราเสียสละ เขาจะพูดสิ่งใดก็แล้วแต่ นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า พราหมณ์ผู้เฒ่าไปต่อว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพราหมณ์หนุ่ม ทำไมไม่ยกมือไหว้ก่อน ไม่ลุกอุปัฏฐากพราหมณ์ผู้เฒ่า

นี่ไม่พอใจไปกล่าวร้ายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนเหนื่อยนะ พูดจนเหนื่อยเลย นี่ว่าจนเหนื่อยเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเฉย พอจบแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามว่า พราหมณ์คนที่เขาเอาอาหารไปให้คนอื่นเขากินสำรับของเขา ถ้าคนๆ นั้นไม่กินอาหารจะเป็นของใคร? อาหารจะเป็นของผู้ที่เอาสำรับนั้นมา ฉะนั้น ที่พราหมณ์ผู้เฒ่ากล่าวร้ายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่รับ พราหมณ์เอากลับไปเถอะ พราหมณ์เอากลับไป โอ๋ย พราหมณ์ยิ่งโกรธ เขากล่าวร้าย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่รับเลย

นี้ก็เหมือนกัน นี่เราบอกว่าเรามีคู่เวรคู่กรรม เขาจะมีการกระทบกระทั่งกัน เขาจะมีสิ่งใดกับเรา เราทำคุณงามความดีไป ทำคุณงามความดีกับเขา เรามีสติเราควบคุมเกมได้ แต่ในใจลึกๆ เราโกรธ ใครมันไม่โกรธ? ความรู้สึกนึกคิดมีทุกคนแหละ แต่เราควบคุม ปัญญาในพุทธศาสนา ปัญญาคือรอบรู้ในกองสังขาร ปัญญาคือรอบรู้ความรู้สึกนึกคิดของเรา ความรู้สึกนึกคิดคือสัญชาตญาณ แล้วเรามีสติปัญญาควบคุมมัน บริหารจัดการความคิด นี่ปัญญาคือการรอบรู้ในกองสังขาร สังขารคือความคิด ความปรุง ความแต่ง สังขารร่างกาย ปัญญามันรู้เท่า มันบริหารจัดการ นี่ปัญญาในพุทธศาสนา

ฉะนั้น เรามีปัญญาเท่าทันความคิดเรา เพราะเราฝึกมาใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ฉะนั้น ความโกรธมีไหม? ความรู้สึกมีทั้งนั้นแหละ แต่มีแล้ว เห็นไหม ดูสิเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ นี่มีความรู้สึกนึกคิดไหม? มีทั้งนั้นแหละ มี แต่ไม่เอามันไง ไม่เอาหมายความว่าไม่อยู่ใต้อำนาจของมันไง บริหารจัดการมัน บริหารจัดการดูแล เวลาสื่อก็สื่อด้วยเสียงนี่แหละ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีความรู้สึกเหมือนกัน แต่รู้สึกสิ่งใดไม่ดีแยกแยะหมด แล้วเอาแต่สิ่งที่ดีๆ เป็นประโยชน์ นี้เพราะเราฝึกหัดโดยปัญญาอบรมสมาธิ

เราปฏิบัติบูชา เวลาเราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันจะได้ประโยชน์อย่างนี้ เห็นไหม เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ แล้วเราเท่าทันความคิด แต่ แต่เวลามันฝัน เวลาฝันมันขาดสติ เราฝันนี่เราทำร้ายเขาเต็มที่เลย เหมือนกับสัตว์ร้ายเลย จนขนาดว่าตกใจตื่น ลืมตาขึ้นมา อันนี้เวลาขาดสติเราเทียบกัน ถ้าเรามีสติเหมือนกับเรามีสติควบคุมตัวเราได้ เวลาฝันไป นี่คือสัญชาตญาณมันเป็นแบบนั้น แต่ แต่มันไม่ใช่เป็นการกระทำ มันเป็นการฝัน มันเป็นความคิด ฝันดิบฝันสุก หลวงตาท่านบอกว่าฝันดิบฝันสุก

เวลาเรามีความคิดนี่ฝันดิบๆ ความคิดก็คือความฝัน สังขารเหมือนกัน เวลานอนหลับไปแล้ว นี่ความคิดในฝันก็คือฝัน ความคิดในขณะที่หลับมันก็คือฝัน พอฝันไปขาดสติมันก็แสดงออกไปตามนั้น แต่ แต่มันไม่ได้ทำ มันไม่ได้ทำ มันเกิดมโนกรรมให้เห็น มโนกรรมมันเป็นความรู้สึกนึกคิด ถ้ามันกระทำไปแล้วนี่จิตใจเต้นแรง แล้วเราไม่ต้องการทำสิ่งนั้นเลย แต่มันก็มีสติ เรายังไม่ได้ทำ แต่ถ้าเราไม่ได้ฝึกฝน แม้แต่อยู่กันต่อหน้าเราก็อยากจะสวนกลับอยู่แล้ว แล้วเรามาฝัน เราฝัน เราย้ำคิดย้ำทำ พอย้ำคิดย้ำทำ มโนกรรมย้ำคิดย้ำทำมันจะเกิดกายกรรม เกิดวจีกรรม กายกรรมก็คือเกิดการกระทำร่างกาย วจีกรรมก็คือโพล่ง โพล่งว่าเขาไปเลย

ฉะนั้น ถ้าเรามีสติเราก็รักษาตรงนั้นไว้ นี่เราเห็นโทษของมัน ถ้าสิ่งนั้น สิ่งนั้นที่ขณะฝัน ขณะฝันมันสะสมมา มันสะสมมา นี่เวลาฝันนะ สิ่งที่เราเคยรู้เคยเห็นมา หรือสิ่งที่เราฝันแล้วเหมือนกับสิ่งที่เราเคยไปแล้ว แล้วจะไปเห็นสิ่งนั้น นี่เวลาฝันเรื่องสิ่งที่ว่ามันจากอดีตชาติต่างๆ เพราะว่าสัญญาอันละเอียดมันมี ถ้ามี เวลาเราแก้ไขไป ถ้าผู้ที่ปฏิบัติไปนะ ถ้าถึงที่สุดแห่งทุกข์จะเข้าใจเรื่องนี้หมดเลย ถ้าไม่เข้าใจเรื่องอย่างนี้นะ ถ้าลังเลสงสัยอยู่ ยังมีความสงสัยอยู่ นี่มันยังตรัสรู้ธรรมไม่ได้

ถ้าเวลาสิ้นสุดแห่งทุกข์ เรื่องกระบวนการที่มันเป็นอย่างนี้เราจะรู้เท่าหมด แล้วเราจะแยกแยะได้หมด เราจะกำจัดได้หมด ถ้าสิ้นสุดคือกระบวนการมันจบสิ้น ถ้ากระบวนการจบสิ้น เพราะว่าพิจารณาไปแล้วมันจะมีขันธ์อย่างหยาบ ขันธ์อย่างกลาง ขันธ์อย่างละเอียด ขันธ์อย่างละเอียดสุด นี่จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ผ่องใสมันยังมีเศร้าหมอง มันยังมีของมันนะ นี่พูดถึงว่าถ้าโดยกระบวนการของจิตมันเป็นแบบนั้น วิถีแห่งจิตมันเป็นธรรมชาติของมันเป็นอย่างนั้น แต่ผู้ปฏิบัติไปจะรู้เป็นชั้นเป็นตอน เป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป แล้วชำระล้างเข้าไป

ฉะนั้น สิ่งที่ว่ามันเป็นความฝันจนเราตกใจ นี่เอามาพูดให้เห็นว่าถ้าเราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ แล้วเราภาวนาของเราขึ้นมา มันมีสติปัญญาเท่าทันตัวเองหมด เห็นไหม นี่ผลของการปฏิบัติ การฝึกฝนใช้ปัญญามันจะเป็นประโยชน์อย่างนี้ นี่พูดถึงว่าทำไมมันถึงฝัน แล้วฝันอย่างนี้มันตกใจเป็นอกุศลทำอย่างไร? ข้อ ๒. พูดถึงความฝัน

ฉะนั้น เขาถามว่า

ถาม : ๑. วิธีที่ผมพยายามทำอยู่ โดยการตัดความคิดอกุศลที่เกิดขึ้นจากผลการกระทบจากเขา เป็นการข่มกดความผูกโกรธ แต่ยังไม่ได้แก้ที่ต้นปัญหาที่ยังฝังอยู่ในใจใช่ไหมครับ มันเลยแสดงออกในทางความฝัน

ตอบ : ความฝันมันซับ มันเป็นความฝันมันเป็นอย่างนั้น มันแสดงออกโดยขันธ์ โดยขันธ์ที่มันทำงานของมัน แล้วเวลาฝันมันเป็นแบบนั้น ฉะนั้น เวลาความฝันนะ เวลาความฝันของพระอรหันต์ไม่มีกิเลส สิ่งนั้นเป็นผลจริงเลย แต่ของเรามันเป็นความฝัน ฝันเพราะว่าเรามีข้อมูลของเรา ข้อมูลสิ่งที่กระทบมันเก็บไว้ เวลานอนหลับไปมันขาดสติมันก็ฝันแบบนั้น ฉะนั้น สิ่งที่ภาวนามา ผลของมันทำให้เรามีสติปัญญา มีสติปัญญาเห็นโทษไง เห็นโทษว่า

ถาม : ๒. หากยังเป็นแบบนี้ เวลาผมเสียชีวิตผมต้องไปทุคติภูมิใช่ไหมครับ เพราะในความฝันโกรธอย่างรุนแรงมาก

ตอบ : ถ้าตายตอนนั้นมันก็ใช่ ถ้าตายตอนขณะที่ผูกโกรธ แต่มันไม่ได้ตาย มันไม่ได้ตาย เห็นไหม พอไม่ได้ตายเราแก้ไขได้ไง เพราะมันไม่ได้ตาย นั้นคือทุคติภูมิเพราะมันโกรธอยู่ ความโกรธ ความโลภ ความหลงมันเหมือนวัตถุที่หนัก มันอยู่กับจิต จิตจะมีความหนัก ถ้าดับตรงนั้นความหนักก็ตกลงที่ต่ำเป็นธรรมดา แต่เราใช้ปัญญาของเรา เรามีปัญญาของเรา เราปล่อยวางของเรา ชำระล้างของเรา สะอาดของเรามันเหมือนปุยนุ่น

พอเหมือนปุยนุ่น จิตใจที่ปล่อยวางหมด จิตใจที่โล่งโถงหมด เวลามันตายตอนนั้นมันก็ลอยสู่ที่สูง นี่เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นข้อเท็จจริง ทีนี้ความผูกพัน ความผูกโกรธต่างๆ มันมีของมัน ฉะนั้น ถ้าเป็นตรงนั้นเราถึงเห็นโทษไง เห็นโทษว่าถ้าโกรธมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย แล้วถ้ามีสิ่งที่โกรธแล้วมีการกระทำที่รุนแรงไปมันไม่เป็นประโยชน์กับใครเลย นี่มันก็เป็นธรรมมาสอนเราอีกชั้นหนึ่ง เวลาธรรมเกิดๆ สิ่งนี้มันให้เราเห็นโทษ เห็นโทษความโลภ ความโกรธ ความหลงของเราเอง

ความโลภ ความโกรธ ความหลงนี่มันเป็นวิบาก แต่ความโลภ ความโกรธ ความหลงมันเกิดจากอะไร? เกิดจากผลกระทบ มันต้องมีผลกระทบมันถึงมีความโลภ มันต้องมีผลกระทบมันถึงมีความโกรธ มีผลกระทบมันถึงมีความหลง ผลกระทบนั้นเป็นเหตุ เหตุมันถึงเกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง ทีนี้ถ้าความโลภ ความโกรธ ความหลงมันเป็นวิบาก มันเป็นผลของเรา ถ้าเรายังโง่อยู่ ยังยึดอยู่ ยังใช้อารมณ์อย่างนี้อยู่มันก็อย่างที่ว่าทุคติ แต่ถ้าเรามีปัญญาเราสละทิ้ง จบ มันแก้ได้ แก้ได้โดยมีปัญญาแยกแยะแล้วมันก็จบไง

แล้วผลกระทบมันเป็นเรื่องกรรมเก่า แล้วถ้าเราทำคุณงามความดี เราทำความดีกับเขา เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ถ้าเขาระลึกได้ก็เป็นประโยชน์กับเขา ถ้าเขาระลึกไม่ได้มันก็เป็นเวรกรรมของเขา อันนั้นเราไม่สามารถ เราไม่สามารถนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา จะรื้อสัตว์ขนสัตว์นี่ท้อใจเลยล่ะ ใครมันจะรู้อย่างนี้ได้? ใครจะรู้อย่างนี้ได้ เห็นไหม ถึงที่สุดแล้วท่านพิจารณาของท่านเอง แล้วพรหมมานิมนต์ด้วย เลยเล็งญาณ คนที่อาสวะเบาบางมี คนที่เขาฝักใฝ่มี

ฉะนั้น เล็งญาณนะ เล็งญาณไปอาฬารดาบส อุทกดาบสอาจารย์เก่าของตัวก็ตายไปแล้ว นี่ถึงปัญจวัคคีย์ เพราะปัญจวัคคีย์ปฏิบัติมากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ ปี นี่ใจของเขาเบาบาง เบาบางทำความสงบของใจได้ แต่เขายังไม่ได้ฟังธรรม ไม่มีผู้ชี้นำของเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเทศน์โปรดปัญจวัคคีย์ ได้ปัญจวัคคีย์ก่อน ได้ยสะอีกเป็น ๖๑ องค์รวมทั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ แล้วก็เผยแผ่ธรรมกันมา

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ว่าถ้าเราทำคุณงามความดีกับเขา แล้วเขาไม่เห็น ไม่รู้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงนั่นก็กรรมของสัตว์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังต้องเลือกเลย จะเทศน์โปรดใคร จะสอนใคร จะเอาน้ำพริกไปละลายแม่น้ำ เขาไม่กินน้ำพริก เขาจะกินอาหารของเขาดีๆ ไอ้เราไปแล้วเขาไม่สนของเรา ถ้าไม่สนก็เรื่องของเขา นี่มันกรรมของสัตว์ ถ้าเราแยกแยะอย่างนี้มันกรรมของสัตว์ใช่ไหม? นี่เราเป็นมนุษย์เราคุยกันรู้เรื่อง แล้วสัตว์มันไม่รู้เรื่องเราก็ไปนั่งคุยกับมัน ไม่รู้ว่าเราโง่หรือสัตว์โง่ก็ไม่รู้นะ ไปนั่งคุยกับสัตว์นะ แหม ไม่ได้หรอก

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าเราก็เลือกเอา เราก็แยกแยะของเราเอา สิ่งที่ถ้ามันเป็นอย่างนั้นมันก็เป็นอย่างนั้น ถ้ามีสติปัญญามันก็จบนะ เห็นไหม

ถาม : ๓. สมมุติว่าหากตายเวลานั้นผมควรทำอย่างใดเพื่อป้องกันไปสู่ทุคติ

ตอบ : ขณะนั้น ขณะนั้นถ้ามันเผลอมันก็ไปตามนั้น ถ้ามีสติก็จบ ถ้าสติตามนะมันปล่อยหมด ถ้ากรณีอย่างนี้เหมือนกรณีพระอรหันต์ ในสมัยพุทธกาลไปภาวนาอยู่ในป่าแล้วเสือมันเข้ามากิน เสือเข้ามากินพระป่า มันกินตั้งแต่ปลายเท้าเข้าไป ยังไม่สำเร็จนะ แล้วมันก็กินเข้าไปถึงเข่า ถึงเอว มันปวดไหม? นี่ท่านก็พิจารณาของท่าน ท่านพิจารณาของท่าน ถึงที่สุดนะพอท่านจะเสียชีวิตพร้อมกับความสำเร็จเป็นพระอรหันต์ไป

นี่พูดถึงขณะที่เสือมากินท่านเลย ท่านยังใช้ปัญญาของท่าน พิจารณาของท่านไป ทีนี้ว่าข้อ ๓.

ถาม : ๓. สมมุติว่าหากผมกำลังจะตาย

ตอบ : ถ้ากำลังจะตายเรามีสติก็จบเหมือนกัน ถ้ากำลังจะตาย พอมีสติปั๊บความคิดมันเปลี่ยนแล้ว ดับหมด สตินี่มันกั้นได้ หลวงตาท่านพูด เห็นไหม คลื่นของความคิดเหมือนทะเล ฝ่ามือสามารถกั้นคลื่นทะเลได้ ฝ่ามือคือสติไง สตินี่ถ้ามีสติพร้อม เวลาที่เราคิดอยู่นี่ เราฟุ้งซ่านอยู่นี่ ที่เรามีอารมณ์อยู่นี่มันมาจากไหนล่ะ? เพราะเราใช้อารมณ์ความคิดไปหมดเลย ถ้าสติมันทันปั๊บ มึงจะบ้าหรือ? จบนะ พอสติมันขึ้นนี่มึงบ้าๆ พอมึงบ้าปั๊บมันไม่คิดเรื่องอื่น มันคิดว่ามึงบ้ามันก็จบแล้ว แต่ขณะที่มันโกรธอยู่ มันมีความรู้สึกไป มึงบ้าไม่มี จะเอาเขาอย่างเดียว ถ้ามีสติมันก็จบ

ทีนี้พูดถึงข้อ ๓. สมมุติว่าผมจะตาย ถ้าผมจะตายนะ สมมุติว่า คำว่าสมมุติว่าเรามีสติปั๊บมันไม่เกิดอย่างนั้น อย่าไปตกใจ ที่เขาตกใจเพราะเขาฝัน พอฝันแล้วเป็นอย่างนั้นปั๊บแล้วสะเทือนใจ สะเทือนใจเพราะคิดว่าตัวเองสามารถจะคุมตัวเองได้ตลอดเวลา แล้วเวลานอนหลับสติมันไม่พร้อมมันเลยไปฝัน ฝันว่าไปตอบโต้เขาไง

คิดว่าเราไม่ตอบโต้เขา แต่ไอ้อย่างนั้นมันเป็นสัญชาตญาณของสัตว์มันเป็นอย่างนั้น แต่ถ้ามีสติเราควบคุมสัญชาตญาณของเรา แล้วใช้ปัญญาของเราแก้ไขเรา เพราะเราเป็นชาวพุทธ แล้วเราเป็นนักปฏิบัติด้วย เราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์

“อานนท์ เธอบอกมัลละกษัตริย์นะ บอกว่าให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด อย่าบูชาเราด้วยอามิสเลย”

ให้ปฏิบัติบูชา เราปฏิบัติแล้วเราถึงเกิดปัญญา เราฝึกหัดใช้ปัญญากัน เราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานของเรา นี่มันมีผลกับเราเป็นประโยชน์กับเรา ฉะนั้น ให้ทำแบบนี้

ข้อ ๑๒๗๐. นะ

ถาม : ๑๒๗๐. เรื่อง “ด่วนมากค่ะ”

อยากเรียนปรึกษานะคะ ตอนนี้คุณแม่มีจิตคิดและฝันว่าตัวเองจะตายในวันที่ ๒๐ นี้ จากคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์ในนิมิตที่ตนเองได้ปฏิบัติมา

ตอบ : เขาเขียนมาถามด่วนมากว่าแม่เขาพยากรณ์ตัวเองว่าจะตายวันที่ ๒๐ นี้ ด่วนมากถามมาเลย นี่ถามมาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วมันไม่ถึงคิว แล้วพอถึงคิวแล้วมันก็ยาว นี่อธิบายมาถึงยาวมากเลย ทีนี้อธิบายเป็นที่มาไม่อ่าน จะรู้กันระหว่างเรากับผู้ถาม

ถาม : ครั้งนี้ลูกสุดปัญญาจริงๆ ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี พอดีมีคนแนะนำว่าให้มาเรียนถามปรึกษาท่านที่นี่ จึงขอความเมตตาตอบแก้ปัญหาให้ลูกด้วยค่ะ

ตอบ : เวลาจนตรอกแล้วนะให้มาปรึกษาที่นี่ ด่วนมาก ด่วนมากเลย เขาบอกว่าเขาเป็นนักปฏิบัติตั้งแต่ปี ๓๒ ตั้งแต่ปี ๒๕๓๒ ประพฤติปฏิบัติมา ไปวัดๆ หนึ่ง แล้ววัดนั้นเขาบอกว่าต้องให้รับขันธ์ เขาไม่เชื่อ คนๆ นี้เขาไม่เชื่อ เขาบอกเขาเป็นข้าราชการด้วย เขาไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ แต่สุดท้ายแล้วชีวิตของเขาประสบแต่ความผิดพลาด ประสบแต่ความล้มเหลว แล้วขณะประสบความล้มเหลวขนาดไหนเขาก็จะฝัน เขาจะมีสิ่งที่เข้ามาสื่อได้ว่าเขาต้องรับขันธ์ รับขันธ์คือว่าเป็นผู้ที่พยากรณ์คนอื่น

แล้วเขาก็ท้าทายกันว่าเขาประสบแต่ความล้มเหลวมาทุกอย่างเลย มีบ้าน มีเรือน มีรถเสียหายหมดเลย ฉะนั้น ถ้าเขารับขันธ์แล้วเขาจะรวยขึ้นมาไหม? แล้วพอเขาตัดสินใจว่าเขาจะยอมรับขันธ์ คือว่าเป็นหมอดูนี่แหละ ทรงเจ้าเข้าทรง เขาบอกว่าสิ่งต่างๆ นี่กลับมาหมดเลย ร่ำรวยเหมือนเก่าหมดเลย นี่พยากรณ์ทุกอย่างถูกต้องหมดเลย แล้วพยากรณ์ไปพยากรณ์มา ตอนนี้พยากรณ์ว่าตัวเองจะตายวันที่ ๒๐ พอตัวเองจะตายวันที่ ๒๐ ลูกก็พยายามจะแก้ไขไงบอกว่าแม่ไม่ตายหรอก แม่ไม่ตายหรอก แต่แม่เขาไม่ฟังเลย แม่เขาไม่ฟังนะ แม่เขานุ่งขาวห่มขาวนั่งรอวันตายวันที่ ๒๐ เพราะเขาเชื่อ เขาพยากรณ์ตัวเขาเองว่าเขาต้องตายในวันที่ ๒๐

ฉะนั้น

ถาม : ครั้งนี้สุดปัญญาที่จะแก้ไข พอดีมีคนแนะนำว่าให้มาเรียนถามปรึกษาท่านที่นี่ จึงอยากขอความเมตตาด้วยค่ะ

ตอบ : ถ้าเขาบอกว่าเขาพยากรณ์ว่าเขาจะตายวันที่ ๒๐ ใครจะตายแทนใครล่ะ? แล้วเขาพยากรณ์แล้วใครจะตาย เวลาเราพยากรณ์คนอื่น เห็นไหม ฉะนั้น สิ่งที่เขาพูดมาตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่เริ่มต้นว่าแต่เดิมเขาไม่เชื่อเรื่องอย่างนี้ เขาปฏิบัติมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๒ แล้วพอปฏิบัติไปแล้วเขาเกิดอุปสรรค เกิดการที่ว่าต้องรับขันธ์ แล้วในชีวิตนี้มีแต่ความล้มเหลว ถ้ารับขันธ์แล้วจะกลับมา แล้วก็กลับมาได้จริงๆ แล้วเขาทำอย่างนั้นจริง แล้วเขาเชื่อมาจนป่านนี้

ถ้าเชื่อมาจนป่านนี้ นี่ออกนอกพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาให้เชื่อกรรม ให้เชื่อทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ให้เชื่อกรรม ผลแห่งกรรม แล้วประพฤติปฏิบัติไปให้เชื่ออริยสัจ ให้เชื่อสัจจะความจริง ถ้าสัจจะความจริงนะ ถ้าถือรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ถือมงคลตื่นข่าว ถ้าไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่ถือนอกจากหลักพุทธศาสนา สัจธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แล้วอย่างที่ว่านี่เขาก็ปฏิบัติมา ปฏิบัติมา แต่เขาไปเจอพระ พระบอกว่าถ้าเขาไม่รับขันธ์เขาจะมีความเสียหาย แล้วมันก็เสียหายจริงๆ

ถ้าเสียหายจริงๆ ถ้าเราเป็นชาวพุทธ อ้าว ถ้ากรรมมันชั่ว เราทำกรรมขึ้นมาเราก็ยอมรับความจริงอย่างนั้น เราก็ฟื้นมา แต่นี้พอว่าต้องรับขันธ์ๆ เราเจอเยอะมากคนที่บอกไปรับขันธ์ๆ ถ้ามันไม่รับขันธ์ก็มีแต่เจ็บไข้ได้ป่วย มีแต่อุปสรรคไปหมดเลย แล้วไปรับขันธ์มา รับขันธ์มาก็ดี ๒ วัน เดี๋ยวก็เหมือนเดิม ก็เจ็บไข้ได้ป่วยเหมือนเดิม พอเจ็บไข้ได้ป่วยเหมือนเดิมมันจะเป็นสิ่งใดไป เพราะในพุทธศาสนาเรื่องการเกิดและการตายเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเข้าถึงหลักสัจธรรมนะ การเกิดและการตายนี้เป็นเรื่องธรรมดา

ถ้าเรื่องธรรมดาแล้ว สิ่งที่เป็นเรื่องธรรมดาแล้วมันจะมีเรื่องสิ่งใดมาต่อรองเราอีก แต่นี้พอเราไม่คิดอย่างนั้น เราไปคิดว่าถ้าเราไปนับถืออย่างนั้นแล้วเราเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา เจริญรุ่งเรืองมามันก็เป็นการพยากรณ์ เพราะว่าพอเขาเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาเขาก็บอกว่าเขาก็รักษาคน ดูแลคนมาตลอด แต่ดูแลไป ดูแลมา ถึงที่สุดแล้วเขาบอกว่าตอนนี้เขาหมดบุญแล้ว เขาต้องตายวันที่ ๒๐

เราจะบอกว่าเราไม่เชื่อ วันที่ ๒๐ นี้จะตาย ดูซิมันจะตายไหม? ถ้าวันที่ ๒๐ จะตายนี่ไม่ตายหรอก ไม่ตาย ไม่ตายเพราะอะไรรู้ไหม? ไม่ตายเพราะมันรู้ว่ามันจะตาย เพราะมันรู้ว่ามันตายมันไม่ตายหรอก มันจะตายได้อย่างไรเพราะมันรู้ตัวอยู่ เออ ถ้ามึงเผลอเมื่อไหร่นี่มึงตาย นี่ถ้าประมาทเมื่อไหร่ก็ตายเมื่อนั้นแหละ แต่นี้บอกเราจะตายวันที่ ๒๐ แล้วก็นี่นั่งรอวันตาย ไม่ตายหรอก เพราะ เพราะพระปฏิบัตินะเวลาปฏิบัติมา เหตุการณ์เวลามันส่งออกมันเจออย่างนี้ เจอว่าจะเป็นอย่างนั้นพยากรณ์ไปข้างหน้าผิดหมดเลย

นี่ถ้าเวลาพยากรณ์ไปผิดมันก็คือผิด แล้วถ้าเวลาพยากรณ์ถูกนะ เช่นหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านบอกเลยว่าท่านอายุ ๘๐ ท่านบอกเลยอายุ ๘๐ ท่านจะต้องเสียชีวิต หลวงปู่มั่นนะเวลาท่านไปอยู่ที่เชียงใหม่ เวลาท่านเจ็บไข้ได้ป่วยมากเขาส่งโรงพยาบาลแมคคอร์มิค หมอบอกตายหมดเลย แต่ท่านบอกว่าไม่ตาย อย่างไรก็ไม่ตาย แต่เวลาท่านมาอยู่ที่หนองผือแล้วท่านพูดกับหลวงตาเองเลย บอกว่าให้เร่งปฏิบัตินะ เพราะพอท่านปัจฉิมวัยของท่าน ท่านเริ่มเผดียงพระแล้ว เพราะท่านรู้ว่าถ้าท่านไม่อยู่แล้ว เวลาปฏิบัติไป ใครมีปัญหาขึ้นมาจะไม่มีใครมีความชำนาญเท่าท่าน

ท่านพยายามเผดียงเลย บอกว่า “หมู่คณะให้ปฏิบัติมานะ การแก้จิตแก้ยากนะ ผู้เฒ่าตายแล้วจะไม่มีใครแก้นะ” แล้วก็บอกหลวงตาด้วย หลวงตาบอกท่านฟังอยู่ท่านหนาวทุกทีเลย เพราะท่านพยายามเร่งของท่านอยู่ ท่านก็ต้องการครูบาอาจารย์สอน พอถึงที่สุดเวลาท่านไปวิเวกกลับมา เห็นไหม หลวงปู่มั่นบอกว่านี่เราป่วยแล้ว ครั้งสุดท้ายไม่ต้องเอายามาหรอก เหมือนต้นไม้ที่มันตายยืนต้น รดน้ำอย่างไรมันก็ไม่ฟื้นหรอก

นี่อยู่มาอีก ๗-๘ เดือน ท่านบอกว่าครั้งสุดท้าย เจ็บครั้งนี้ครั้งสุดท้ายแล้ว เป็นวัณโรคสมัยนั้นไม่มียารักษา ท่านบอกว่ามันเป็นโรคคนแก่ ไม่ตายง่ายหรอก แต่มันไม่ฟื้น นี่เราจะชี้ให้เห็นว่าท่านรู้ว่าท่านต้องตายนะ ฉะนั้น เวลาท่านตายท่านมีความเมตตาด้วย เมตตาว่าถ้าท่านตายที่หนองผือมันไม่มีตลาด มันมีแต่ชาวบ้าน แล้วถ้าท่านตายลูกศิษย์จะต้องเข้ามาเคารพศพท่านมาก ชาวบ้านเขาต้องพยายามหาอาหารมาเลี้ยงประชาชน สัตว์มันจะตายเยอะ

ฉะนั้น ท่านปรารถนาว่าท่านจะไปนิพพานที่วัดป่าสุทธาวาส วัดป่าสุทธาวาสมันอยู่เขตอำเภอเมืองสกลนคร อำเภอเมืองมันมีตลาด ถ้าคนไปนี่ตลาดมันเป็นเรื่องกรรมเวรของสัตว์ ในเมื่อมีผู้ที่เขาปรารถนาอยากมีสัมมาอาชีวะของเขา วิชาชีพของเขาคือการขายเนื้อ ขายต่างๆ ในตลาดมันมี คนที่เขาต้องการมั่นคงในชีวิตของเขาก็มี ผู้ที่เขามีจิตใจเป็นธรรมก็มีใช่ไหม?

ฉะนั้น ท่านปรารถนาจะไปตายที่วัดป่าสุทธาวาส ฉะนั้น ต้องเดินทางออกมา ต้องทำเสลี่ยงแล้วหามท่านออกมา หามท่านออกมาไว้ที่วัดป่าบ้านภู่ ท่านบอกว่าต้องรีบไป ต้องรีบไป คือว่าท่านรั้งไว้ นี่เห็นไหม คำว่าจะตาย ต้องตายวันที่ ๒๐ วันที่ ๒๐ หลวงปู่มั่นท่านบอกจะตายท่านยังรั้งไว้ ประคองจิตของท่านไว้ ยังตายที่นี่ไม่ได้ ยังตายที่นี่ไม่ได้ แล้วเวลามาไว้ที่วัดบ้านภู่ ท่านบอกให้หลวงตาเอาไปๆ ให้เอาเราไปเดี๋ยวนี้ เอาไปเดี๋ยวนี้ ทีนี้หลวงตาท่านเป็นพระผู้น้อย มีพระผู้ใหญ่อยู่ท่านก็ยังประชุมกันอยู่อย่างนั้นแหละ

หลวงตาท่านบอกว่า หลวงปู่มั่นบอกให้เอาท่านนั่งไว้ในกลด แล้วท่านก็หันหน้า นั่งจากวัดบ้านภู่นั่งหันหน้าไปทางสกลนคร คือใจมันจะไปไง จะไปที่นั่นๆ ถ้าตายที่นี่มันเป็นภาระเขาไปหมด มันเป็นภาระของสังคมไปหมด จะไปตายที่วัดป่าสุทธาวาส ไปตายที่อำเภอเมืองสกลนคร นั่งอยู่อย่างนั้นแหละ หลวงตาท่านบอกว่าคงเทวดาท่านช่วย ไปดลใจให้ชาวสกลนครเขาตีรถจากสกลนครมาหาท่าน แล้วมารับท่านนะ

พอรับท่าน ท่านบอกไปได้อย่างไรล่ะพระมันเยอะ เพราะหมู่คณะเยอะมาก บอกไปเถอะเอาหลวงปู่ไปก่อน แล้วจะตีรถมารับจนกว่าจะหมด พอท่านลงใจท่านก็นอนลง หมอเขาก็ฉีดยา พอฉีดยาท่านก็นอนพัก รถก็บรรทุกไป เอาไปที่วัดป่าสุทธาวาส นี่หลวงตาเล่านะ เราเกิดไม่ทันหรอก พอไปถึงวัดป่าสุทธาวาสท่านฟื้นมา ท่านฟื้นมาท่านก็มองซ้าย มองขวา เพราะที่วัดป่าสุทธาวาส โยมที่สกลนครเขาสร้างถวายหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ท่านเคยอยู่ที่วัดป่าสุทธาวาสจนคุ้นเคย กุฏิที่หลวงปู่มั่นท่านเคยอยู่ ท่านเคยอยู่จนคุ้นเคย ท่านจำของท่านได้

ฉะนั้น เวลาเขาไปถึงสกลนครเขาก็เอาท่านขึ้นไปพักบนกุฏินี้ พอท่านลืมตาขึ้นมาท่านก็มอง มองซ้าย มองขวา มองว่าที่นี่คือที่ไหน? มันใช่วัดป่าสุทธาวาสจริงหรือเปล่า มันใช่ที่ที่ท่านปรารถนาจะมาทิ้งธาตุขันธ์ร่างกายที่นี่ไหม? พอท่านเหลียวซ้าย เหลียวขวาว่ามันใช่เรียบร้อยหมดแล้วนะท่านก็พักผ่อน แล้วท่านก็กำหนดของท่านนอนสีหไสยาสน์

เวลาท่านนอนปั๊บ คนผู้เฒ่าใช่ไหมเวลานอนสีหไสยาสน์คือนอนตะแคง เวลาคนจะสิ้นลมมันก็จะเอียงมา คนก็พยายามไปผลักไว้ คือท่านจะไปท่าสีหไสยาสน์เลยล่ะ แล้วพระก็นั่งล้อมเต็มไปหมดเลย นั่งเฝ้า ท่านก็หายใจของท่านแผ่วลงๆๆ แผ่วลงจนเงียบไป จนเจ้าคุณจูมธรรมเจดีย์เป็นคนพูดขึ้นมา บอกว่าไม่ใช่ว่าท่านนิพพานไปแล้วหรือ? นั่งเฝ้ากันเต็มเลยยังไม่รู้ว่าท่านไปตอนไหน เพราะท่านไปด้วยความนุ่มนวลมาก ฉะนั้น พอพูดอย่างนั้นปั๊บก็เลยไปดูชีพจร ไปดูที่ลมหายใจไม่มี ก็ตกลงกันว่าท่านนิพพานไปแล้ว

นี่แม้แต่รู้ว่าจะไปเมื่อไหร่ จะไปอย่างไรท่านยังรั้งของท่านได้ด้วยสติปัญญาของท่าน คนที่มีสติ มีปัญญา เห็นไหม ท่านรู้ของท่านเพราะอะไร? เพราะใจของท่านรู้เองของท่านว่าท่านจะไปของท่านอย่างใด มหาสติ มหาปัญญา สติปัญญาอัตโนมัติของผู้ที่สิ้นกิเลสมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่นี้บอกว่าเราจะ เรากับผู้ตาย เรา นี่มันมีสองไง มันมีสองใช่ไหม? นี่เราจะตายวันที่ ๒๐ แล้วเราก็ตื่นเต้นมากเลย เราก็เฝ้ารอจะตายเลย ไม่ตายหรอก เพราะไอ้คนที่พยากรณ์นี่อีกคนหนึ่ง ไอ้คนจะตายอีกคนหนึ่ง มันไม่ตายหรอก

นี่เพราะเราไปเชื่อของเราไง เราไปเชื่อของเรา เราคิดของเราอย่างนั้นว่าเรารับขันธ์มาแล้ว รับขันธ์มาแล้วสิ่งนี้เขาจะศักดิ์สิทธิ์ เขาจะช่วยเหลือเรา เขาจะคุ้มครองเรา เขาจะดูแลเรา เพราะเราพยากรณ์คนอื่นยังถูกหมดทุกทีเลย พยากรณ์คนอื่นถูกหมดทุกทีเราก็เชื่อเลยว่าเราพยากรณ์แม่นเลย ทีนี้มันก็จะพยากรณ์ตัวเองไง นี่มันเป็นเรื่องไสยศาสตร์ มันเป็นเรื่องของตำรับตำราของสถิติ แล้วเราก็เชื่อๆๆ พูดพยากรณ์จนเชื่อ เชื่อจนว่าเราจะเป็นอย่างนั้นเลย ไม่เป็นหรอก ไม่เป็น

ถ้ามันจะเป็นจะตายนะ เวลาสติมันพร้อม สติมันพร้อมอยู่กับตัวเราจิตมันหดเข้ามารู้หมดเลย ถ้าคนที่ปฏิบัติแล้วมันจะรู้ตามความเป็นจริง ถ้ารู้ตามความเป็นจริง นี้คือสัจจะ นี้คือสัจจะ แต่ว่าเราจะตายเมื่อนั้น จะฟื้นเมื่อนี้ จะเป็นเมื่อนั้น ไอ้อย่างนี้มันไม่ใช่ พอมันไม่ใช่แล้วเราไม่เชื่อ แต่การเกิดและการตายมีจริงไหม? จริง การเกิดและการตายมีจริงๆ เกิดจริงๆ แล้วก็ตายจริงๆ เกิดจริงๆ ตายจริงๆ ตามเวร ตามกรรม ตามสิ่งที่เราสร้างสมมา ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ผู้ที่มีสติปัญญาเขารู้เท่าทันตามความเป็นจริง

เวลารู้เท่าทันตามความเป็นจริงนะ จิตนี้อยู่กับเรา เรากับจิตนี้เป็นอันเดียวกัน มันจะเกิด มันจะตายมันก็แค่เปลี่ยนอิริยาบถเท่านั้นแหละ จิตมันก็เปลี่ยนแปลงสภาพมันไปเท่านั้นแหละ มันไม่มีอะไรเลย ไม่เห็นมีอะไร นี่พูดถึงเวียนตายเวียนเกิดนะ แล้วไปตื่นเต้นอะไร? ตื่นเต้นอะไร? ถ้าสิ้นกิเลสแล้วมันไปอีกเรื่องหนึ่งเลย ยิ่งจบเข้าไปใหญ่

ฉะนั้น เวลาถ้ามันเป็นจริงนะมันก็แค่เปลี่ยนอิริยาบถ มันไม่มีอะไรตายหรอก มันแค่เปลี่ยนอิริยาบถ ทีนี้เปลี่ยนอิริยาบถแบบคนมีกิเลสนะมันก็เวียนไป แต่ถ้าผู้ที่สิ้นกิเลสมันไปอีกเรื่องหนึ่งเลย นี่บอกว่าให้เห็นว่าสิ่งที่เขาเชื่อเขาเชื่อกันไป เชื่อของเขาไปนะ

ถาม : ด่วนมากค่ะ กราบเรียนปรึกษานะคะ ตอนนี้คุณแม่มีจิตคิดและฝันว่าตัวเองจะตายวันที่ ๒๐ นี้ จากคำบอกกล่าวของครูบาอาจารย์ในนิมิตที่ตนเองปฏิบัติมา ครั้งนี้สุดปัญญาจริงๆ ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี พอดีมีคนแนะนำว่าให้มาเรียนถามปรึกษาท่านที่นี่ จึงอยากขอความเมตตาตอบหรือแก้ไขปัญหาให้ลูกด้วยค่ะ

ตอบ : จบ เอวัง